
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือนเม.ย.68 อยู่ที่ระดับ 55.4 ปรับตัวลดลงทุกรายการ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 7 เดือนนับตั้งแต่เดือนต.ค.67 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0
โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 49.3 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 53.0 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 63.9
การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 แสดงว่า ผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า และค่าครองชีพสูง ตลอดจนปัญหาสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้
นายวาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า ปัจจัยลบสำคัญที่มีผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนเม.ย.68 ได้แก่
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 ลงเหลือโต 2.1% จากเดิมคาดโต 3% สาเหตุหลักจากแรงกดดันด้านการค้าโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า
- ผู้บริโภคยังมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า ท่ามกลางปัญหาค่าครองชีพสูง และมองว่ารายได้ไม่สอดคล้องกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น
- ราคาพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และยางพารา อยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อน ส่งผลให้รายได้เกษตรกรไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก
- ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ 5.เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย และ 6. กังวลปัญหาภัยแล้ง ที่จะกระทบต่อการใช้น้ำในภาคเกษตร อุตสาหกรรม และครัวเรือน
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุน ได้แก่
- คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 1.75% ต่อปี
- ครม.เห็นชอบมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ เหลือ 0.01%
- การส่งออกไทยเดือนมี.ค.68 มีมูลค่าสูงถึง 29,548 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 17.84% และเกินดุลการค้า 972 ล้านดอลลาร์
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ซึ่งเป็นผลพวงสืบเนื่องมาตั้งแต่เดือนก.พ. ที่สหรัฐฯ เริ่มประกาศมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่พืชผลทางการเกษตรหลัก ๆ ของไทยราคาย่อตัวลง ทำให้เม็ดเงินที่จะสะพัดในตลาดสินค้าเกษตรลดลงไปจากเดิม และยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองเพิ่มเติมเข้ามา โดยเฉพาะกรณีของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ที่เป็นแกนหลักในฝั่งรัฐบาล กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี รวมทั้งปัญหาการเข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นการเมืองไทย ออกมาต่ำสุดในรอบ 7 เดือน แม้จะยังไม่มีสถานการณ์ที่บ่งชี้ชัดเจนว่าจะมีผลกระทบรุนแรง
“การเมืองเป็นสถานการณ์ที่เจือเข้ามาในระยะหลัง ที่คนบอกว่าเริ่มจะมองการเมืองในปัจจุบัน และในอนาคตว่าไม่โดดเด่น สอดคล้องกับการไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะกับสินค้าคงทน เช่น บ้าน และรถ รวมถึงค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยว ดังนั้นจะเห็นว่าสถานการณ์เริ่มมีผลต่อเศรษฐกิจ คนใช้จ่ายน้อย เริ่มมีเสียงบ่นจากทั่วประเทศว่ายอดขายหาย ซึ่งก็สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยด้วยเช่นกัน รวมถึงดัชนีวัดความสุข ที่ย่อตัวลงต่ำสุดในรอบ 26 เดือน นับตั้งแต่มี.ค.66 ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยังไม่โดดเด่น และยังไม่เป็นขาขึ้นได้เร็ว” นายธนวรรธน์ กล่าว
พร้อมระบุว่า เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลออกมาเพิ่มเติม เช่น กรณีเงินดิจิทัลวอลเล็ตในกลุ่มวัยรุ่น ที่ขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน และต้องรอการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลจะใช้เม็ดเงินราว 2-5 แสนล้านบาท ทั้งนี้ มีเงื่อนไขสำคัญคือเสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งหากการเมืองมีปัญหายุบสภา ก็อาจส่งผลให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 69 ต้องล่าช้าออกไปอย่างน้อย 3-6 เดือน ดังนั้น ถือว่าเรื่องการเมืองยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งยังมีแนวโน้มที่จะเป็นขาลงต่อเนื่อง
“ถ้าการเมือง มีการสะดุดหยุดลงจากการยุบสภา จะทำให้งบประมาณแผ่นดินดีเลย์ไปอย่างน้อย 3-6 เดือน ซึ่งขึ้นกับว่า จะมีอุบัติเหตุทางการเมืองในการยุบสภาหรือไม่ ซึ่งก็จะเป็นความน่ากังวลเรื่องการจัดทำงบประมาณที่ล่าช้า และการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ภายใต้การเป็นรัฐบาลรักษาการ ซึ่งจะมีผลด้วยเช่นกัน แต่เชื่อว่าภาคการเมืองน่าจะมีทางออก เพื่อให้เศรษฐกิจของไทยไม่ได้รับผลกระทบไปมากกว่านี้” นายธนวรรธน์ ระบุ
อธิการบดี ม.หอการค้าไทย ยังฝากถึงรัฐบาลให้เตรียมพร้อมในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อดึงให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวในช่วงปลายปี หลังจากที่น่าจะมีข้อสรุปในการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ แล้ว นอกจากนี้ ม.หอการค้าไทย ยังไม่สนับสนุนการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท แต่ต้องการให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อทำให้เกิดตัวคูณทางเศรษฐกิจมากขึ้น และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ตลอดจนอยากเห็นการเร่งใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 68 (ก.ค.-ก.ย.68)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 พ.ค. 68)