
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 4% ในวันอังคาร (17 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงนั้น จะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง
- ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 3.07 ดอลลาร์ หรือ 4.28% ปิดที่ 74.84 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 3.22 ดอลลาร์ หรือ 4.4% ปิดที่ 76.45 ดอลลาร์/บาร์เรล
สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังคงตึงเครียด เนื่องจากการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านได้ล่วงเข้าสู่วันที่ 5 ขณะที่สื่อรายงานว่ากองทัพสหรัฐฯ ได้เคลื่อนฝูงบินขับไล่เข้าไปยังตะวันออกกลาง และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้เตือนประชาชนในกรุงเตหะรานให้เร่งอพยพ พร้อมกับเรียกร้องให้อิหร่าน “ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข”
แม้ว่าการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านยังไม่ได้ส่งผลให้การไหลเวียนน้ำมันในตะวันออกกลางหยุดชะงักลงอย่างเห็นได้ชัด แต่อิหร่านได้ระงับการผลิตก๊าซบางส่วนที่แหล่งเซาท์พาร์ส (South Pars) ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซที่ใช้ร่วมกับกาตาร์ หลังจากที่อิสราเอลโจมตีจนเกิดเพลิงไหม้ที่แห่งก๊าซดังกล่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ อิสราเอลยังได้โจมตีคลังน้ำมันชาห์ราน (Shahran) ในอิหร่านด้วย
นักวิเคราะห์จากบริษัท Price Futures Group กล่าวว่า การที่อิสราเอลและอิหร่านยังคงสู้รบกันทางอากาศอย่างต่อเนื่องได้ส่งผลให้ตลาดน้ำมันเผชิญกับความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ พร้อมกับคาดการณ์ว่าความขัดแย้งในครั้งนี้อาจจะยื้ดเยื้อคล้ายกับสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน
สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ลดลง 10.133 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 13 มิ.ย. ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบอย่างเป็นทางการจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ในวันนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มิ.ย. 68)