
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คาดว่า เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีแรกนี้ จะเติบโตได้ราว 2.9% โดยไตรมาส 2 จะยังขยายตัวได้ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่ระดับ 3.1% และตั้งแต่ครึ่งปีหลังไป เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงแรง เพราะผลจากสงครามการค้าโลกจะมีเข้ามาชัดเจนมากขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงจากปัจจัยต่าง ๆ จะเริ่มมีมากขึ้น
“ครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวแรง เพราะประเมินว่าการเติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) จะขยายตัวได้เพียง 0.1% เท่านั้น จากระดับศักยภาพที่ 0.7-0.8%” นายสักกะภพ กล่าว
ทั้งนี้ กนง. ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้เป็น 2.3% เพิ่มขึ้นจากระดับเดิมที่ 2.0% นั้น ได้รวมปัจจัยเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาทเข้าไว้แล้ว แต่ยังไม่รวมปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองไว้ในประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ เพราะยังไม่เห็นพัฒนาการที่ชัดเจน เว้นแต่ว่าจะมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างชัดเจน เช่น ในปี 2566 ที่มีผลต่อการจัดทำงบประมาณที่ล่าช้า ซึ่งทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณต้องเลื่อนออกไปจากปกติค่อนข้างมาก
สำหรับประมาณการเศรษฐกิจไทยที่สำคัญในปีนี้ คาดว่า มูลค่าการส่งออก ปีนี้โต 4% ส่วนปี 69 หดตัว -2%, อัตราเงินเฟ้อปีนี้ 0.5% ปีหน้า 0.8%, จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปีนี้ 35 ล้านคน ปีหน้า 38 ล้านคน, ดุลบัญชีเดินสะพัด ปีนี้ เกินดุล 11 พันล้านดอลลาร์ ปีหน้า เกินดุล 13 พันล้านดอลลาร์
“GDP ปี 68 ไม่น่าจะโตได้ต่ำกว่า 2% หากเศรษฐกิจจะโตต่ำกว่า 2% ได้ ต้องมีภาวะ Technical recession คำถามคือ ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาเราเห็นแบบนั้นกี่ครั้ง ต้องบอกว่ามีแค่ 4 ครั้ง คือปี 40 วิกฤตต้มยำกุ้ง) ปี 2551 (Global Financial Crisis) ช่วงความไม่สงบทางการเมือง และช่วงโควิด จะเห็นว่าช็อคแต่ละช่วง เป็นช็อคที่ค่อนข้างใหญ่ และเป็นช็อคต่างประเทศเข้ามาด้วย แต่ตอนนี้เรายังไม่เห็นแบบนั้น และไม่เห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะชะลอลงไปแรงมาก ดังนั้นต่อให้ ไตรมาส 3 ไตรมาส 4 เศรษฐกิจไทยไม่โตเลย ทั้งปี ก็ยังโตได้ 2.2% ซึ่งการที่เศรษฐกิจปีนี้จะโตต่ำกว่า 2% ได้นั้น ช่วงครึ่งปีหลังจะต้องติดลบ 0.3% นี่คือเหตุผลที่เรามองว่าทั้งปี มีโอกาสที่จะโตได้ 2.3%” นายสักกะภพ ระบุ
ทั้งนี้ การประมาณเศรษฐกิจไทยดังกล่าว อยู่ภายใต้สมมติฐานว่าได้มีการเจรจานโยบายการค้ากับสหรัฐฯ และได้ลดอัตราภาษีลงครึ่งหนึ่งจากที่สหรัฐฯ ประกาศไว้ คือ เหลือ 18% จาก 36% ขณะที่ประเทศอื่นได้ 10% ส่วนจีนได้ 30% อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามผลการเจรจาอย่างใกล้ชิด เพราะผลสุดท้ายที่ออกมา อาจจะมีได้ทั้งด้านบวก หรือด้านลบ รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นด้วย เช่น เรื่องปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยภายในประเทศด้วย
“การลดดอกเบี้ยตั้งแต่ปลายปี 67 ที่ผ่านมา จนถึงครึ่งแรกของปีนี้ รวมแล้ว 3 ครั้ง ถือว่ารองรับความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นเหตุผลที่ กนง.คงดอกเบี้ยรอบนี้ เป็นเรื่องของ timing และประสิทธิภาพการทำนโยบายภายใต้ policy space ที่มีจำกัด ควรจะใช้ตอนไหน ซึ่งภายใต้ความไม่แน่นอนที่ยังมีสูง กนง.ก็พร้อมที่จะปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า” นายสักกะภพ ระบุ
- โอกาส ศก.ไทยถดถอยเชิงเทคนิค มีแต่ไม่มาก
นายสักกะภพ หากสถานการณ์ต่างประเทศเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเชิงเทคนิค ไทยก็มีโอกาสจะเกิดภาวะดังกล่าวได้เช่นกัน แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นในตอนนี้ ยังมีไม่มาก สิ่งที่จะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ จะต้องมีช็อกขนาดใหญ่มากพอสมควร ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังไม่เห็นว่าจะมีสัญญาณเกิดขึ้น
“ถ้าข้างนอกเกิด recession เราก็มีโอกาสจะเกิด recession ได้ ปกติถ้าเราจะเกิด recession ได้นั้น ส่วนใหญ่ข้างนอกก็ต้องเกิด ซึ่งโอกาส ณ ตอนนี้จะบอกว่าไม่มีก็ไม่ได้ แต่มันมีน้อย สิ่งที่จะทำให้เกิดได้ต้องเป็นช็อคขนาดใหญ่พอสมควร ภายใต้ข้อสมมติฐานที่เราใส่ไว้ในประมาณการ แต่หากมีช็อคใหญ่เกิดขึ้น เช่น สงครามที่ทวีความรุนแรงในตะวันออกกลาง ก็เป็นไปได้ แต่เรามั่นใจสิ่งที่ใส่ไว้ใน base line ว่าเป็นประมาณนั้น”
- แจงเหตุผลไม่รีบลดดอกเบี้ย แม้เห็นแนวโน้มศก.ปีหน้าชะลอ
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อกนง.เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มชะลอตัวลง เหตุใดจึงไม่ใช้นโยบายการเงินด้วยการลดดอกเบี้ย เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจนั้น นายสักกะภพ กล่าวว่า การที่แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าโตชะลอลง มีผลจากเรื่องการส่งออก นโยบายการค้า การแข่งขันที่สูงขึ้นจากปัญหาการทะลักของสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย ซึ่งนโยบายดอกเบี้ยคงมีบทบาทจำกัด
“สิ่งที่นโยบายดอกเบี้ยจะทำได้ คือ เมื่อเห็นว่าเศรษฐกิจหดตัวมากกว่า และมีปัญหาส่วนใหญ่จากแง่ของดีมานด์ หรือภาวะการเงินตึงตัวอย่างชัดเจนมากกว่าปัญหาพื้นฐานเศรษฐกิจ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ จะได้เห็นบทบาทของดอกเบี้ยเข้ามาได้” นายสักกะภพ กล่าว
นอกจากนี้ ตั้งแต่ปลายปี 67 จนถึงปัจจุบัน กนง.ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงแล้ว 3 ครั้ง ทำให้ภาวะการเงินผ่อนคลายลง ช่วยลดต้นทุนทางการเงินลงได้บ้าง ส่วนในแง่ของ transmission คงต้องรอประเมินผลอีกระยะ เพราะปกติแล้วผลจากการลดดอกเบี้ย จะเห็นได้ช่วงใน 3-4 ไตรมาสหลังจากนั้น ดังนั้นจึงอาจมีผลของนโยบายการเงินที่ค้างท่ออยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ กนง.จะต้องนำมาประเมินด้วย
อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์เศรษฐกิจในระยะข้างหน้าเติบโตได้ต่ำกว่าที่ประเมินไว้ กนง. ก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินให้มีความเหมาะสม โดยประเด็นที่มีความเป็นห่วงว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากสุด คือ เรื่องสงครามการค้า และภาวะการเงินถ้าตึงตัวในวงกว้างโดยไม่สอดคล้องพื้นฐานเศรษฐกิจ
“กนง. เห็นความสำคัญของการแก้หนี้ อยากให้เร่งรัดเรื่องการให้สินเชื่อใหม่ เครื่องมือที่เหมาะสมที่จะตอบสนองกับปัญหานี้คืออะไร ปัญหาอยู่ที่ credit risk และความต้องการสินเชื่อที่มีไม่เยอะในช่วงนี้ ดังนั้น ช่วงนี้การลดดอกเบี้ยคงไม่ใช่เครื่องมือที่ตรงจุด แน่นอนว่ามันช่วย แต่ไม่ใช่เครื่องมือที่ถูกจุด ซึ่งเครื่องมือที่ถูกจุด คือ การค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งกนง.ให้โจทย์ว่าจะเพิ่มประสิทธิผลของมาตรการพวกนี้ให้มากขึ้นได้อย่างไร” นายสักกะภพ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 มิ.ย. 68)